จริงหรือไม่ราคาน้ำมันแพงเพราะภาษีและเงินกองทุน

by taxlaw
0 comment
ราคาน้ำมันแพงเพราะภาษี

จริงหรือไม่ราคาน้ำมันแพงเพราะภาษีและเงินกองทุน

ราคาน้ำมันที่ปรับขึ้นอย่างต่อเนื่องจนเป็นกระแสร้อนในสังคมในปัจจุบัน โดยเฉพาะประเด็นที่บอกว่าราคาน้ำมันที่แพงนั้นเกือบครึ่งเป็นค่าภาษี และเงินกองทุนของภาครัฐคิดที่เป็นสัดส่วนราว 49% ของราคาขายที่หน้าปั๊ม ความจริงแล้วเป็นอย่างไร กฏหมายภาษี จะพาดูบทความนี้มีคำตอบ 

โครงสร้างของราคาน้ำมันขายปลีก

กระทรวงการคลังได้ออกมาชี้แจงเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าว โดยเริ่มต้นจากการอธิบายโครงสร้างราคาน้ำมันขายปลีกของน้ำมันเชื้อเพลิง ในปัจจุบันว่ามีการแบ่งออกเป็น 6 ส่วนหลัก ๆ ดังนี้ 

1. ราคาหน้าโรงงาน ซึ่งเป็นต้นทุนการผลิตของผู้ประกอบการ

2. ภาษีสรรพสามิตที่อัตราประมาณ 0.975 ถึง 6.5 บาทต่อลิตร ขึ้นอยู่กับประเภทของน้ำมันจะจัดเก็บบนหลักการด้านสิ่งแวดล้อม 

3. ภาษีเพื่อส่วนราชการท้องถิ่นทีร้อยละ 10 ของภาษีสรรพสามิต เพื่อเป็นรายได้ท้องถิ่นในการจัดทำบริการสาธารณะและกิจกรรมสาธารณะแก่ประชาชนในพื้นที่ 

4. ภาษีมูลค่าเพิ่ม ร้อยละ 7 ซึ่งเป็นการจัดเก็บสินค้าเกือบทุกประเภท 

5. กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงจะจัดเก็บ -17.6143 ถึง 6.58 บาทต่อลิตร ซึ่งมีวัตถุประสงค์หลักในการรักษาเสถียรภาพของราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศ 

6. ค่าการตลาด ซึ่งเป็นต้นทุนของผู้ประกอบการ รัฐเก็บภาษี-เงินกองทุน 45% ของราคาน้ำมัน คือเรื่องจริงแต่ไม่ใช่ความจริงทั้งหมด 

กระทรวงการคลังยังได้ชี้แจงเพิ่มเติมเกี่ยวกับโครงสร้างราคาน้ำมันดังกล่าวว่าสัดส่วนที่พูดกันเกี่ยวกับการเก็บภาษีและเงินกองทุนของภาครัฐสูงถึงร้อยละ 45 ของราคาน้ำมันต่อลิตรที่ประชาชนจ่ายนั้นจะพบว่าเป็นการนำสัดส่วนของราคาน้ำมันเบนซินปกตินำมาอ้างใช้กับน้ำมันทุกประเภท จึงเป็นข้อมูลที่ไม่ถูกต้องตรงตามความเป็นจริง 

ราคาน้ำมันแต่ละประเภท มีโครงสร้างราคาไม่เท่ากัน 

1. น้ำมันดีเซล 

ราคาหน้าโรงงาน คิดเป็นสัดส่วนราวร้อยละ 75-87 ของราคาขายปลีก

ภาษีสรรพสามิต ภาษีเพื่อส่วนราชการท้องถิ่น เงินนำส่งหรือได้รับอุดหนุนจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง และเงินนำส่งกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน คิดเป็นสัดส่วนทั้งหมดร้อยละ 6-16 ของราคาขายปลีก

ค่าการตลาด คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 1-3 ของราคาขายปลีก

ภาษีมูลค่าเพิ่ม จัดเก็บที่ร้อยละ 7 ของมูลค่าสินค้า

2. น้ำมันเบนซิน 

ราคาหน้าโรงงาน คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 56-100 ของราคาขายปลีก

ภาษีสรรพสามิต ภาษีเพื่อส่วนราชการท้องถิ่น เงินนำส่งหรือได้รับอุดหนุนจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง และเงินนำส่งกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 25 ถึง 35 ของราคาขายปลีก

ค่าการตลาด คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 2-18 ของราคาขายปลีก

ภาษีมูลค่าเพิ่ม ซึ่งเป็นภาษีที่จัดเก็บจากสินค้าทุกประเภทที่ร้อยละ 7 ของมูลค่าสินค้า 

3. LPG 

ราคาหน้าโรงงาน คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 157 ของราคาขายปลีก

ภาษีสรรพสามิต ภาษีเพื่อส่วนราชการท้องถิ่น เงินนำส่งหรือได้รับอุดหนุนจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง และเงินนำส่งกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 81 ของราคาขายปลีก 

ค่าการตลาด อยู่ที่สัดส่วนร้อยละ 17 ของราคาขายปลีก

ภาษีมูลค่าเพิ่ม จัดเก็บที่ร้อยละ 7 ของมูลค่าสินค้า

ท้ายที่สุดไม่ว่าราคาน้ำมันจะปรับขึ้นหรือลง การเตรียมพร้อมเพื่อรับมือกับทุก ๆ สถานการณ์จะช่วยให้มองเห็นโอกาสและปิดความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นได้

You may also like

Leave a Comment